สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT) ร่วมจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการยกระดับการส่งเสริมภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพภาคเอกชน พัฒนานโยบายและมาตรการการป้องกันและต่อต้านการทุจริต พร้อมด้วยกิจกรรมสร้างการรับรู้ต่อการขับเคลื่อน เพื่อร่วมกันยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ของประเทศไทย ณ โรงแรมแมนดาริน กรุงเทพฯ
รัฐตั้งเป้า CPI ไทย ติด 1 ใน 20 อันดับแรกของโลก ภายในปี 2580
นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษว่า ปัญหาการทุจริตเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม คุณภาพ ชีวิตของประชาชนในประเทศ มานานแล้ว รัฐจึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตของประเทศโดยได้ระบุไว้เป็นเป้าหมายในแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2561 - 2580) ว่า “ภาครัฐมีความโปร่งใส ปลอดการทุจริต และประพฤติมิชอบ” มีการวัดความสำเร็จด้วยดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) โดยประเทศไทยจะต้องมีระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตอยู่ในอันดับ 1 ใน 20 ลำดับแรก ของโลก เมื่อสิ้นสุดแผนในปี พ.ศ. 2580 ภารกิจของสำนักงาน ป.ป.ท. ในฐานะที่่เป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศไทยให้สูงขึ้นตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ ไม่สามารถผลักดันเรื่องนี้ได้โดยลำพัง เพราะการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน เป็นเรื่องของทุกฝ่าย จึงจำเป็นต้องร่วมมือกัน เพื่อผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
UNGCNT พบ 2 ปัจจัยเสี่ยงที่อาจสร้างโอกาสการทุจริต ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ
ดร.เนติธร ประดิษฐ์สาร เลขาธิการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย(UNGCNT) กล่าวย้ำว่า การต่อต้านการทุจริตเป็นเรื่องของทุกฝ่าย การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการยกระดับการส่งเสริมภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ในวันนี้ มีสาระสำคัญอยู่ที่การนำไปปฏิบัติและวัดผลได้ รวมทั้งเปิดเผยให้โปร่งใสและให้มีการตรวจสอบได้ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมและมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในการป้องกันและต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ ซึ่งจะช่วยยกระดับความโปร่งใส ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม รับรองความยุติธรรมให้กับทุกคน ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด พร้อมทั้งกล่าวว่านักลงทุนและภาคธุรกิจจะใช้ค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ประเมินความเสี่ยงและตัดสินใจลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งการประเมินคะแนน CPI จะอ้างอิงข้อมูลจากหลายภาคส่วน รวมถึงภาคธุรกิจและเอกชน จึงทำให้การยกระดับคะแนนนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเข้มแข็งระหว่างภาครัฐและเอกชน
นอกจากนี้ ยังได้เปิดเผยว่า จากการถอดบทเรียนของ UNGCNT พบความท้าทายสำคัญ 2 ประการ ในกระบวนการอนุมัติ อนุญาตทางธุรกิจที่เป็นความเสี่ยงที่อาจสร้างโอกาสในการทุจริตคอร์รัปชัน ได้แก่ 1.ข้อท้าทายด้านกระบวนการ ภาคเอกชนต้องเผชิญกับขั้นตอนจำนวนมากและระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการอนุมัติ อนุญาต หากกระบวนการอนุมัติ อนุญาตมีความซับซ้อนมากเท่าไร ความเสี่ยงในกระบวนการที่ไม่โปร่งใสก็จะเพิ่มขึ้นนอกจากนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัล (digitalization) มาใช้ในการอนุมัติ อนุญาต และตรวจสอบ ติดตามผล เพื่อให้กระบวนการรวดเร็วขึ้น 2.ข้อท้าทายด้านกฎระเบียบ การมีกฎระเบียบที่กำหนดกระบวนการที่ซ้ำซ้อนและไม่จำเป็นในการอนุมัติ อนุญาตที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ อาจจะกลายเป็นอุปสรรคในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มภาระในการปฏิบัติงานให้กับหน่วยงานภาครัฐ อาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการทุจริตได้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกรับผลประโยชน์เพื่อลัดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน ความสับสนและความไม่แน่นอนในการปฏิบัติตามกฎหมาย และการเพิ่มต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการทำลายโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบUNGCNT ชู 3 แนวทางผนึกกำลังแก้ทุจริต เพิ่มความโปร่งใส หนุนธุรกิจไทยเติบโยยั่งยืน
ดร.เนติธร กล่าวต่อไปว่า สมาคมฯ เสนอ 3 แนวทางหลักเพื่อพิจารณาประกอบการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริต ได้แก่ 1. การปรับปรุงกระบวนการอนุมัติ อนุญาตด้วยมาตรการที่ไม่ใช่กฎหมาย (non-legal measures) โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการติดตามและความรับผิดชอบในกระบวนการอนุมัติ อนุญาต โดยกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน (KPI) และเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม และวัดผลได้ รวมถึง ช่วยเหลือกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีต้นทุนที่จำกัด โดยอาจจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือ SME เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ให้คำแนะนำ และช่วยเหลือในการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ขณะที่ แรงงานข้ามชาติ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการทุจริตในกระบวนการเข้าเมือง อาจจัดให้มีการให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ รวมถึงช่องทางร้องเรียนที่ปลอดภัย (whistleblowing) 2. การทบทวนกฎระเบียบเพื่อขจัดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนหรือใช้ดุลยพินิจสูง (deregulation) ลดจำนวนกฎระเบียบและขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและสร้างภาระซึ่งจะช่วยลดความซับซ้อนและต้นทุนในการดำเนินธุรกิจเพิ่มกลไกตรวจสอบและถ่วงดุลในกรณีที่ต้องใช้ดุลพินิจเพื่อลดโอกาสในการใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบและการทุจริตและ3.การปฏิรูปกระบวนการอนุมัติอนุญาตโดยรวม (authorization reform) ออกแบบกระบวนการอนุมัติ อนุญาตที่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจในทางปฏิบัติ โดยเน้นการออกแบบที่คำนึงถึงผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (user-centric design) ใช้กระบวนการอนุมัติ อนุญาตแบบอิงความเสี่ยง (risk-based licensing) โดยพิจารณาปัจจัยแวดล้อม อาทิ ประเภทอุตสาหกรรม ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน ความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจ และประวัติการปฏิบัติตามกฎระเบียบของผู้ประกอบการ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน การต่อต้านการทุจริตที่มีประสิทธิผล จำเป็นต้องมีความสมดุลระหว่างบทลงโทษและแรงจูงใจที่เหมาะสม ที่ผ่านมาภาคเอกชนได้พยายามกำหนดมาตรการ และโครงการต่างๆ เพื่อต่อต้านการทุจริตทั้งภายในองค์กรตลอดห่วงโซ่อุปทาน ผ่านการทำงานร่วมกับคู่ค้า ไม่ว่าจะเป็นการประเมินความเสี่ยง การเปิดช่องทางแจ้งเบาะแส รวมถึงให้ความร่วมมือกับภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชน ยังต้องการการสนับสนุนช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อเสริมสร้างกลไกป้องกันที่มีอยู่ และการสร้างมาตรการจูงใจ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี สิทธิประโยชน์ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
“ ผมเชื่อมั่นว่า พลังและความร่วมมือของทุกฝ่าย จะสามารถปิดช่องว่าง ลดโอกาส และความเสี่ยงการทุจริต สร้างสภาพแวดล้อมในการแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งจะส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบ” ดร.เนติธร กล่าวทิ้งท้าย