โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ( UNDP ) ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และ สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) ได้จัดประชุมปรึกษาหารือภายใต้หัวข้อ “เสริมสร้างกรอบกฎหมายและระเบียบข้อบังคับในการต่อต้านการเป็นทาสสมัยใหม่และการค้ามนุษย์ในภาคการเงิน” กับหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานกำกับดูแล ทางการเงิน ภาคธุรกิจองค์กรภาคประชาสังคม และหน่วยงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ในวันอังคารที่ 27 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21 วัตถุประสงค์ในการประชุม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมาตรการทางกฎหมายและนโยบาย ทั้งด้านความโปร่งใสทางการเงิน การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ รวมถึงข้อกำหนดด้านการคลังและภาษี เพื่อรับมือปัญหาการเป็นทาสสมัยใหม่และการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ
ในการเปิดงาน คุณอิริน่า กอร์ยูโนวา รองผู้แทน UNDP ประจำประเทศไทย เน้นย้ำความสำคัญของโครงการ Finance Against Slavery and Trafficking (FAST) เพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการเป็นทาสยุคใหม่ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ถูกบังคับใช้แรงงานกว่า 24.9 ล้านคน สร้างรายได้ผิดกฎหมายกว่า 236 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โครงการ FAST จึงมุ่งเสริมสร้างขีดความสามารถของหน่วยงานภาครัฐ ผู้กำกับดูแลทางการเงินและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้โปร่งใสยิ่งขึ้น ปรับปรุงการตรวจสอบและบูรณาการมาตรการต่อต้านการเป็นทาสเข้าสู่นโยบายระดับประเทศ เพื่อให้ไทยขจัดปัญหานี้ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
คุณนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวถึงความท้าทายของการเป็นทาสสมัยใหม่และการค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้นในภาคการเงิน เพื่อรับมือกับปัญหาจึงต้องมีการพัฒนากลไกเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งอยู่ในช่วงแผนปฏิบัติการฉบับที่ 2 ที่เป็นส่วนหนึ่งของบทบาทรัฐบาลในการกำหนดกฎระเบียบและแก้ไขปัญหาแรงงาน รวมถึงการพิจารณาผลักดันเป็นกฎหมายในอนาคต เพื่อแก้ปัญหาในภาคธุรกิจและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ดร. เนติธร ประดิษฐ์สาร เลขาธิการและกรรมการบริหารสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) เน้นย้ำว่าการค้ามนุษย์และการเป็นทาสสมัยใหม่ส่งผลกระทบต่อมนุษยชนและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคสังคมในการแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร ซึ่ง GCNT ในฐานะเครือข่ายธุรกิจที่ยึดมั่นหลักสากลของ UN จึงเสนอให้ภาคการเงินมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านปัญหานี้ ด้วยการติดตามธุรกรรม ตรวจสอบสิทธิมนุษยชนตลอดห่วงโซ่อุปทาน และบูรณาการเกณฑ์สิทธิมนุษยชนในการพิจารณาสินเชื่อและการลงทุน เพื่อนำไปสู่กลไกความร่วมมือที่แข็งแกร่งและบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030
การเปิดงานได้ปิดท้ายด้วยปาฐกถาพิเศษ โดย ฯพณฯ นายคริสเตียน เวนาเวเซอร์ ผู้แทนถาวรแห่งคณะผู้แทนถาวรราชรัฐลิกเตนสไตน์ ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก กล่าวถึงความสำคัญของ โครงการ FAST มุ่งเน้นการกระตุ้นให้ภาคการเงินเข้ามามีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการเป็นทาสสมัยใหม่และการค้ามนุษย์ รวมถึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการใช้กฎหมายเพื่อตรวจสอบ ปกป้องสิทธิมนุษยชน และขับเคลื่อนไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ในการประชุมครั้งนี้ ดร.เสรี นนทสูติ กรรมการคณะกรรมการสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้รับเกียรติเป็นวิทยากรในหัวข้อ "การเป็นทาสยุคใหม่ การค้ามนุษย์ และกระแสทางการเงิน - ความเสี่ยงและการตอบสนอง" ให้ความรู้และภาพรวมเกี่ยวกับแนวโน้มของการเป็นทาสยุคใหม่และการค้ามนุษย์ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกระแสทางการเงินที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การฉ้อโกงทางไซเบอร์และการใช้แรงงานบังคับ รวมถึงชี้ให้เห็นถึงกรอบกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันและช่องว่างในการกำกับดูแลทางการเงินที่ควรได้รับการแก้ไข
ดร. ขวัญฤทัย ศิริพัฒนโกศล รองเลขาธิการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมเสวนาในหัวข้อ "การเสริมสร้างแนวปฏิบัติที่รับผิดชอบของภาคธุรกิจ เพื่อต่อต้านการตกเป็นทาสสมัยใหม่" โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาเข้าร่วมอภิปราย ซึ่งการเสวนาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อผลักดันและส่งเสริมให้องค์กรธุรกิจร่วมกันสร้างแนวทางการดำเนินงานที่มีความโปร่งใสและคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม
นอกจากนี้เนื้อหาในการประชุมยังมีการจัดกิจกรรมกลุ่มระดมความคิดเห็น เพื่อพัฒนากรอบกฎหมาย นโยบายและมาตรการ การบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนหาแนวทางต่อต้านการตกเป็นทาสสมัยใหม่ในภาคการเงิน รวมถึงรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนเพื่อนำไปพัฒนานโยบายและความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
GCNT พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจไทยให้มีแนวทางที่โปร่งใสในการต่อต้านการค้าทาสสมัยใหม่และการค้ามนุษย์ เพื่อก่อให้เกิดแนวปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความเสี่ยงภายในองค์กร และสอดคล้องกับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน