เชื่อว่านาทีนี้ เหล่านักเดินทางทั่วโลกที่ว่างเว้นจากการท่องเที่ยวมาเป็นเวลานาน นับจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่างกำลังจับจองเที่ยวบินและที่พักกันอย่างคึกคัก เมื่อประเทศต่างๆ ทยอยผ่อนปรนมาตรการ และเปิดประตูให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาเดินหน้าเต็มกำลังอีกครั้ง รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย
อย่างไรก็ตาม ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นล้วนปล่อยคาร์บอน ต้นเหตุของการเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกส่งผลกระทบให้ผิวโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นที่ก่อให้เกิดวิกฤตโลกรวน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวพักผ่อน ซึ่งนับเป็นกิจกรรมพิเศษที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ปริมาณคาร์บอนที่ถูกปล่อยออกไปนั้นมีมากยิ่งขึ้น
คำถามคือ แล้วนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ต้องทำอย่างไร การเดินทางครั้งต่อไปจึงจะยั่งยืนขึ้นเพื่อให้ลูกหลานของเราในอนาคต ยังคงมีโอกาสได้ท่องเที่ยวชมความงดงามรอบโลกได้อีกต่อไป?
หนึ่งในคำตอบที่ปฏิบัติได้ง่ายที่สุดคือ การเลือกพัก Carbon Neutral Hotel หรือโรงแรมที่ดำเนินธุรกิจด้วยเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ
ข้อมูลในอดีตที่ผ่านมาขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations World Tourism Organization) และ Urban Land Institute ระบุว่าโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 1% ของการปล่อยมลพิษทั่วโลก และรู้หรือไม่ว่าโรงแรมนั้นใช้พลังงานมากกว่าสำนักงาน ร้านค้าปลีก ที่อยู่อาศัยสำหรับหลายครอบครัว และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเสียอีก
และเพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 2 องศาตาม Paris Climate Accords อุตสาหกรรมการบริการและโรงแรม จะต้องลดการปล่อยมลพิษลง 66% ภายในปี 2573 ตามรายงานการวิจัยของ International Tourism Partnership
ดังนั้น ถ้าเราสามารถผลักดันให้โรงแรมส่วนใหญ่ ปรับเปลี่ยนมาดำเนินธุรกิจอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ปล่อยคาร์บอนและใช้พลังงานลดลง การเข้าพักในโรงแรมแต่ละครั้งของเราย่อมปล่อยคาร์บอนน้อยลงไปด้วย เราจะไม่เป็นเพียง World Traveller เท่านั้น แต่ทุกคนคือ World Hero!
แม้ทุกวันนี้จะยังไม่มีข้อมูลที่ระบุแน่ชัดว่า ทั่วโลกมี Carbon Neutral Hotel อยู่กี่แห่ง แต่จากการสำรวจของ Booking.com เมื่อปีที่ผ่านมา ระบุว่านักท่องเที่ยวสมัยใหม่มองหาตัวเลือกโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าโรงแรมทั่วๆ ไปอย่างชัดเจน โดย 81% ระบุว่าพวกเขาต้องการพักในที่พักที่ยั่งยืน ในขณะเดียวกันอีก 49% กล่าวว่าพวกเขาไม่คิดว่าโลกของเรามีตัวเลือกโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพียงพอ
ดังนั้นนี่คือเทรนด์ใหม่ที่เหล่าผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจโรงแรม ต้องตีโจทย์ให้แตกถึงความต้องการของเหล่านักเดินทางที่เปลี่ยนไป และต้องปรับตัว สร้างแผนประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยมลพิษและคาร์บอนให้ทันท่วงที เพื่อไม่ให้ตกขบวน
อย่าง Soneva Kiri เกาะกูด ที่นอกจากจะก่อสร้างด้วยวัสดุธรรมชาติ ไร้สารเคลือบหรือสารเคมี ออกแบบอย่างผสมผสานกลมกลืนไปกับบริบทโดยรอบอย่างถ่อมตัว รบกวนพื้นที่ดั้งเดิมน้อยที่สุด พร้อมบริการแขกด้วยตัวเลือกอาหาร Plant-Based และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงบริหารจัดการขยะอย่างเป็นระบบ โดยของเสียกว่า 90% ที่เกิดขึ้น ถูกหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่
ตั้งแต่ปี 2008 โซเนวาเรียกเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม 2% จากการเข้าพักทั้งหมด เพื่อนำไปสู่การลงทุนในโครงการต่างๆ ที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการชดเชยการปล่อยคาร์บอนทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น กิจกรรมของรีสอร์ทและเที่ยวบินของแขก
นอกจากโซเนวา ยังมีอีกหลายโรงแรมในประเทศไทยที่เป็นตัวอย่าง ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าดำเนินกิจการด้วยหลักการอันยั่งยืน
หากเราเลือกเข้าพักในโรงแรมหรือรีสอร์ทและบอกต่อถึงความรู้สึกประทับใจในการจัดการบนความยั่งยืน จะไม่เป็นเพียงการสนับสนุนผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ได้เห็นว่า ความยั่งยืนสามารถอยู่คู่กับการพักผ่อนอันสะดวกสบายได้อย่างกลมกลืน
#GCNT #GlobalCompactNetworkThailand #NetZeroHotel
#CallToAction
#ไม่ทำไม่ได้แล้ว
#aNewEraOfAction
ข้อมูลอ้างอิง